ประวัติที่มา โชคทวีโอสถ
ในปี 2547 ได้เริ่มก่อตั้งทำอุตสาหกรรมผลิตยาสมุนไพรที่บ้านของตนเอง โดยใช้หลักการปรุงยาตามภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยไม่มีเครื่องจักรและใช้ส่วนประกอบของตัวยาสมุนไพรที่มีมากกว่า 50 รายการ ภายใต้การรับรองการเป็นแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้ชื่อแบรนด์สินค้าว่า “โชคทวีโอสถ”
“เป็นสูตรเฉพาะที่สืบทอดกันมานานมากกว่า100 ปี โดยนายทวี ก๋าทองทุ่ง สามีของพี่ จากเคยบวชเป็นพระที่วัดปทุม ต.เหมืองหม้อ อ.เมือง จ.แพร่ จึงได้เรียนรู้สูตรปรุงยาสมุนไพรที่เป็นตำรับโบราณจากเจ้าอาวาสที่ใช้สูตรยาสมุนไพรรักษาโรคเบื้องต้นให้คนในชุมชน โดยวัตถุดิบการทำยาส่วนใหญ่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติ ในป่าพื้นที่ภาคเหนือ อีกทั้งส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ปลูกสมุนไพรและมีการรับซื้อตัวยาสมุนไพรจากชาวบ้านอีกด้วย” นางกัญหา แจง
พร้อมระบุว่า ในระยะแรกได้นำสินค้าประเภทยาหม่องวางจำหน่ายที่บ้านของตนเองและติดต่อเพื่อขอวางจำหน่ายตามร้านขายยาใน จ.แพร่ ซึ่งก็ได้รับผลการตอบรับจากคนในท้องถิ่นและบรรดาร้านขายยาเป็นอย่างดี ทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด กระทั่งในปี 2550 จึงตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตยาสมุนไพรขึ้นตามมาตรฐานของกระทรวงสารธารณสุข โดยใช้พื้นที่ในบริเวณบ้านพักอาศัยของตนเอง เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย
สำหรับสินค้าสมุนไพรที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ คือ ลูกประคบ, ยากษัยเส้น, ชักมดลูก, ชาสมุนไพรโบราณและยาหม่อง ที่เป็นสูตรสมุนไพรที่เน้นสรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้เคล็ดขัดยอก แก้นวดโดยตรง, ปวดข้อ, ปวดเข่า จนปัจจุบันนี้กลายเป็นสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากลูกค้าในทุกระดับ และผลิตภัณฑ์ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์โอท็อประดับ 5 ดาวของ จ.แพร่ ตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน
นางกัญหา กล่าวว่า ในช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ได้ตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงพัฒนาสินค้าในรูปแบบแคปซูลและบรรจุผง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในประเทศไทย โดยตลาดส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในประเทศ ที่ซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางร้านขายยาที่มีใน จ.แพร่ประมาณ 10 แห่ง และในร้านขายยาทั่วประเทศ รวมถึงการสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ และตามงานแสดงสินค้าต่างๆ โดยมียอดขายประมาณ 1-2 แสนบาทต่อเดือน อีกทั้ง ปัจจุบันที่โรงงานยังมีการเปิดห้องอบสมุนไพร โดยมีบรรดาลูกค้าในบริเวณพื้นที่และประชาชนที่ผ่านทราบข่าวจากการบอกต่อๆ กัน ให้ความสนใจเป็นอย่างดี
“ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การอุดหนุน ซึ่งทางเราขอยืนยันสินค้าทุกรายการ เน้นผลิตจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ อีกทั้งวิธีการผลิตทุกขั้นตอนมุ่งเน้นได้มาตรฐาน ดังนั้น จึงการันตีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทุกรายการนั้นจะตอบโจทย์ผู้บริโภคเป็นอย่างดี”
“เป็นสูตรเฉพาะที่สืบทอดกันมานานมากกว่า100 ปี โดยนายทวี ก๋าทองทุ่ง สามีของพี่ จากเคยบวชเป็นพระที่วัดปทุม ต.เหมืองหม้อ อ.เมือง จ.แพร่ จึงได้เรียนรู้สูตรปรุงยาสมุนไพรที่เป็นตำรับโบราณจากเจ้าอาวาสที่ใช้สูตรยาสมุนไพรรักษาโรคเบื้องต้นให้คนในชุมชน โดยวัตถุดิบการทำยาส่วนใหญ่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติ ในป่าพื้นที่ภาคเหนือ อีกทั้งส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ปลูกสมุนไพรและมีการรับซื้อตัวยาสมุนไพรจากชาวบ้านอีกด้วย” นางกัญหา แจง
พร้อมระบุว่า ในระยะแรกได้นำสินค้าประเภทยาหม่องวางจำหน่ายที่บ้านของตนเองและติดต่อเพื่อขอวางจำหน่ายตามร้านขายยาใน จ.แพร่ ซึ่งก็ได้รับผลการตอบรับจากคนในท้องถิ่นและบรรดาร้านขายยาเป็นอย่างดี ทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด กระทั่งในปี 2550 จึงตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตยาสมุนไพรขึ้นตามมาตรฐานของกระทรวงสารธารณสุข โดยใช้พื้นที่ในบริเวณบ้านพักอาศัยของตนเอง เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย
สำหรับสินค้าสมุนไพรที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ คือ ลูกประคบ, ยากษัยเส้น, ชักมดลูก, ชาสมุนไพรโบราณและยาหม่อง ที่เป็นสูตรสมุนไพรที่เน้นสรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้เคล็ดขัดยอก แก้นวดโดยตรง, ปวดข้อ, ปวดเข่า จนปัจจุบันนี้กลายเป็นสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนจากลูกค้าในทุกระดับ และผลิตภัณฑ์ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์โอท็อประดับ 5 ดาวของ จ.แพร่ ตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน
นางกัญหา กล่าวว่า ในช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ได้ตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงพัฒนาสินค้าในรูปแบบแคปซูลและบรรจุผง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในประเทศไทย โดยตลาดส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในประเทศ ที่ซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางร้านขายยาที่มีใน จ.แพร่ประมาณ 10 แห่ง และในร้านขายยาทั่วประเทศ รวมถึงการสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ และตามงานแสดงสินค้าต่างๆ โดยมียอดขายประมาณ 1-2 แสนบาทต่อเดือน อีกทั้ง ปัจจุบันที่โรงงานยังมีการเปิดห้องอบสมุนไพร โดยมีบรรดาลูกค้าในบริเวณพื้นที่และประชาชนที่ผ่านทราบข่าวจากการบอกต่อๆ กัน ให้ความสนใจเป็นอย่างดี
“ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การอุดหนุน ซึ่งทางเราขอยืนยันสินค้าทุกรายการ เน้นผลิตจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ อีกทั้งวิธีการผลิตทุกขั้นตอนมุ่งเน้นได้มาตรฐาน ดังนั้น จึงการันตีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทุกรายการนั้นจะตอบโจทย์ผู้บริโภคเป็นอย่างดี”
ารอบสมุนไพรเป็นการใช้ไอน้ำ และความร้อนพาตัวยาและน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรไปสัมผัสผิวหนัง โดยทำให้ผิวหนังขยายตัว ตัวยาจากสมุนไพรจะแทรกซึมผ่านผิวหนัง และเยื่อบุเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งผ่านเข้าทางลมหายใจที่สูดเข้าไปด้วย ทำให้ตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ทั่วตัวในเวลาอันรวดเร็ว มีผลต่อหลายระบบในร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ประมาณการได้ว่าหากอบไอน้ำ 15-20 นาที เทียบเท่ากับการเดินเร็ว 1-2 ชั่วโมง ดังนั้นคนที่เป็นโรคหัวใจจึงไม่ควรอบเพราะทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก
ระบบกำจัดของเสีย
ผิวหนังเปรียบเสมือนไตอันที่สามในร่างกาย ทำหน้าที่กำจัดของเสียร้อยละ 30 ของของเสียทั้งหมดที่ร่างกายขับออกมา การอบไอน้ำทำให้เลือดไหลเวียนมาผิวหนังได้ดีขึ้น ขับเหงื่ออกมามากขึ้นเป็นการกำจัดพิษ และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีวิธีหนึ่งโดยเฉพาะผู้หญิงหลังคลอด ดังนั้นหลังจากอบสมุนไพรจึงรู้สึกเบาสบายตัว
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
การอบสมุนไพรทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทั้งยังมีตัวยาที่ช่วยลดการอักเสบ แก้ปวด จึงช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย ลดอาการขัดข้อขัดเข่า
ระบบประสาท
ยาอบสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ใช้พืชที่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งถือว่าเป็นการบำบัดด้วยกลิ่นหรือ อโรมาเธอราปีส์ (Aromatherapy) อีกแบบหนึ่ง จึงช่วยให้จิตใจและกล้ามเนื้อผ่อนคลายหายเครียด และนอนหลับได้ง่ายขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกัน
การอบสมุนไพรทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นจากการที่ระบบน้ำเหลืองมีการไหลเวียนมากขึ้น และการผิวหนังมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมของร่างกายด้วยการมีไข้ ดังนั้นการอบสมุนไพรจึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นหวัด ภูมิแพ้ เป็นต้น
ต่อระบบผิวพรรณ
การอบสมุนไพรทำให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังมากขึ้นทำให้ผิวพรรณสดใส ซึ่งในอดีตหญิงสาวจะอบตัวเป็นประจำเพื่อทำให้ผิวพรรณผ่องใส
ในทางการแพทย์พื้นบ้านมีการใช้การอบสมุนไพรเพื่อบรรเทาโรคและอาการ เช่น อาการปวดเมื่อย ฟกช้ำ หญิงหลังคลอด อัมพฤกษ์ อัมพาต วิงเวียน ปวดหัว เครียด ภูมิแพ้ หวัด ลมพิษ และเพื่อบำรุงสุขภาพ ที่มาของไออบสมุนไพรมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน แล้วแต่ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น
ขั้นตอนวิธีการอบ
เริ่มด้วยให้ผู้ป่วยเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน แล้วนั่งในกระโจมกับหม้อต้มที่เดือดดีแล้ว ในรายที่ไม่เคยอบมาก่อน ให้อบครั้งละ 15 นาที แบ่งอบ 3 รอบ ผู้ที่อบอยู่เป็นประจำ ให้อบครั้งละ 20 นาที จำนวน 2 รอบ ระหว่างพักให้สังเกตอาการผู้ที่เข้าอบว่ามีอาการเวียนศีรษะ และหายใจสะดวกหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวอาจให้ยุติการอบทันที ในระหว่างพักให้ผู้ป่วยรับประทานน้ำอุ่นให้เพียงพอประมาณ 2-4 แก้วต่อการอบแต่ละครั้ง อาจผสมเกลือลงในน้ำเล็กน้อย เพื่อป้องกันการเสียเกลือแร่จากการเสียเหงื่อในช่วงที่เข้าอบ
ข้อควรระวังในการอบ
- ต้องระมัดระวังสำหรับผู้ป่วย ควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ห้ามอบหากมีไข้ตัวร้อน
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันได้ไม่ดี ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ที่ดื่มสุรา หรือผู้ที่นอนน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ควรเข้าอบสมุนไพร
- หลังการอบสมุนไพรไม่ควรอาบน้ำทันที เพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และทำให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจป่วยได้
ตำรับสมุนไพรในยาอบ
นิยมสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม สมุนไพรรสเปรี้ยว สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ได้แก่ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมพวกพืชตระกูลส้ม เช่น ส่องฟ้า มะกรูด ส้มโอ สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบหนาด ใบเปล้า รองลงไปคือ ตะไคร้ ไพล มะกรูด และสมุนไพรที่ใช้เพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ดอกปีบ เป็นต้น อาจเติมการบูรในปริมาณเล็กน้อยด้วยก็ได้ หรือหากหาอะไรไม่ได้จริงๆ ก็ให้คิดถึงเครื่องต้มยำ คือ ข่า ตระไคร้ ใบมะกรูด ผลมะกรูดผ่าซีก ใบกะเพรา ก็ใช้อบได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นกรณีที่มีข่าวการเสียชีวิตจากการเข้าไปอบสมุนไพรด้วยการใช้เตาถ่านต้มน้ำในห้องปิดที่ไม่มีอากาศถ่ายเท มิใช่การอบสมุนไพรที่ถูกต้อง การเสียชีวิตอาจเกิดจากการขาดอากาศหายใจจากเตาถ่านก็เป็นได้ ในส่วนของการใช้เพื่อลดน้ำหนักอาจจะเป็นการลดได้เพียงชั่วคราวจากการเสียน้ำเท่านั้น สำหรับโรคเบาหวานและความดันโลหิต การอบอาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ แต่ต้องมีการดูแลระหว่างอบกันอย่างใกล้ชิด
งานการแพทย์แผนไทย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ประมาณการได้ว่าหากอบไอน้ำ 15-20 นาที เทียบเท่ากับการเดินเร็ว 1-2 ชั่วโมง ดังนั้นคนที่เป็นโรคหัวใจจึงไม่ควรอบเพราะทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก
ระบบกำจัดของเสีย
ผิวหนังเปรียบเสมือนไตอันที่สามในร่างกาย ทำหน้าที่กำจัดของเสียร้อยละ 30 ของของเสียทั้งหมดที่ร่างกายขับออกมา การอบไอน้ำทำให้เลือดไหลเวียนมาผิวหนังได้ดีขึ้น ขับเหงื่ออกมามากขึ้นเป็นการกำจัดพิษ และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีวิธีหนึ่งโดยเฉพาะผู้หญิงหลังคลอด ดังนั้นหลังจากอบสมุนไพรจึงรู้สึกเบาสบายตัว
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
การอบสมุนไพรทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทั้งยังมีตัวยาที่ช่วยลดการอักเสบ แก้ปวด จึงช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย ลดอาการขัดข้อขัดเข่า
ระบบประสาท
ยาอบสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ใช้พืชที่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งถือว่าเป็นการบำบัดด้วยกลิ่นหรือ อโรมาเธอราปีส์ (Aromatherapy) อีกแบบหนึ่ง จึงช่วยให้จิตใจและกล้ามเนื้อผ่อนคลายหายเครียด และนอนหลับได้ง่ายขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกัน
การอบสมุนไพรทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นจากการที่ระบบน้ำเหลืองมีการไหลเวียนมากขึ้น และการผิวหนังมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมของร่างกายด้วยการมีไข้ ดังนั้นการอบสมุนไพรจึงมีประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นหวัด ภูมิแพ้ เป็นต้น
ต่อระบบผิวพรรณ
การอบสมุนไพรทำให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังมากขึ้นทำให้ผิวพรรณสดใส ซึ่งในอดีตหญิงสาวจะอบตัวเป็นประจำเพื่อทำให้ผิวพรรณผ่องใส
ในทางการแพทย์พื้นบ้านมีการใช้การอบสมุนไพรเพื่อบรรเทาโรคและอาการ เช่น อาการปวดเมื่อย ฟกช้ำ หญิงหลังคลอด อัมพฤกษ์ อัมพาต วิงเวียน ปวดหัว เครียด ภูมิแพ้ หวัด ลมพิษ และเพื่อบำรุงสุขภาพ ที่มาของไออบสมุนไพรมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน แล้วแต่ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น
ขั้นตอนวิธีการอบ
เริ่มด้วยให้ผู้ป่วยเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน แล้วนั่งในกระโจมกับหม้อต้มที่เดือดดีแล้ว ในรายที่ไม่เคยอบมาก่อน ให้อบครั้งละ 15 นาที แบ่งอบ 3 รอบ ผู้ที่อบอยู่เป็นประจำ ให้อบครั้งละ 20 นาที จำนวน 2 รอบ ระหว่างพักให้สังเกตอาการผู้ที่เข้าอบว่ามีอาการเวียนศีรษะ และหายใจสะดวกหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวอาจให้ยุติการอบทันที ในระหว่างพักให้ผู้ป่วยรับประทานน้ำอุ่นให้เพียงพอประมาณ 2-4 แก้วต่อการอบแต่ละครั้ง อาจผสมเกลือลงในน้ำเล็กน้อย เพื่อป้องกันการเสียเกลือแร่จากการเสียเหงื่อในช่วงที่เข้าอบ
ข้อควรระวังในการอบ
- ต้องระมัดระวังสำหรับผู้ป่วย ควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ห้ามอบหากมีไข้ตัวร้อน
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันได้ไม่ดี ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ที่ดื่มสุรา หรือผู้ที่นอนน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ควรเข้าอบสมุนไพร
- หลังการอบสมุนไพรไม่ควรอาบน้ำทันที เพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และทำให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจป่วยได้
ตำรับสมุนไพรในยาอบ
นิยมสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม สมุนไพรรสเปรี้ยว สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ได้แก่ สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมพวกพืชตระกูลส้ม เช่น ส่องฟ้า มะกรูด ส้มโอ สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบหนาด ใบเปล้า รองลงไปคือ ตะไคร้ ไพล มะกรูด และสมุนไพรที่ใช้เพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ดอกปีบ เป็นต้น อาจเติมการบูรในปริมาณเล็กน้อยด้วยก็ได้ หรือหากหาอะไรไม่ได้จริงๆ ก็ให้คิดถึงเครื่องต้มยำ คือ ข่า ตระไคร้ ใบมะกรูด ผลมะกรูดผ่าซีก ใบกะเพรา ก็ใช้อบได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นกรณีที่มีข่าวการเสียชีวิตจากการเข้าไปอบสมุนไพรด้วยการใช้เตาถ่านต้มน้ำในห้องปิดที่ไม่มีอากาศถ่ายเท มิใช่การอบสมุนไพรที่ถูกต้อง การเสียชีวิตอาจเกิดจากการขาดอากาศหายใจจากเตาถ่านก็เป็นได้ ในส่วนของการใช้เพื่อลดน้ำหนักอาจจะเป็นการลดได้เพียงชั่วคราวจากการเสียน้ำเท่านั้น สำหรับโรคเบาหวานและความดันโลหิต การอบอาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ แต่ต้องมีการดูแลระหว่างอบกันอย่างใกล้ชิด
งานการแพทย์แผนไทย